วันนี้ (15 ม.ค.2567) สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ออกแถลงการณ์สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ชี้แจงข้อเท็จจริงสถานการณ์ภาวะลองโควิด-19 และผลกระทบของวัคซีนโควิด-19 มีใจความระบุว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเรื่องสถานการณ์ภาวะลองโควิด-19 และผลกระทบของวัคซีนโควิด-19 ทางสื่อออนไลน์ ในวงกว้าง
สถาบันวัคซีนแห่งชาติ คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่เกี่ยวข้อง คณะผู้เชี่ยวชาญทางด้านภูมิคุ้มกันวิทยาของประเทศ รวมทั้งองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย ได้ร่วมกันพิจารณาข้อมูลดังกล่าวแล้ว พบว่า ข้อมูลดังกล่าวยังมีคลาดเคลื่อนในหลายประเด็น และการส่งต่อข้อมูลดังกล่าวในวงกว้าง อาจเป็นสาเหตุทำให้ประชาชนเกิดความสับสน มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และทำให้เกิดความตื่นตระหนกในสังคมได้
อ่านข่าว “หมอธีระวัฒน์-ปานเทพ” แถลง 7 ประเด็น กังขาฉีดวัคซีนโควิด
ภาวะลองโควิด (Long COVID) หรืออาการหลังโควิด 19 (Post COVID-19 condition) เป็นภาวะที่พบได้จริง หลังการป่วยด้วยโรคโควิด-19 แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า ความเข้าใจในปัจจุบันเกี่ยวกับสาเหตุของภาวะลองโควิด
สาเหตุที่ผู้คนได้รับผลกระทบหนักเบา ไม่เท่ากันนั้น ยังมีจำกัด จึงยังคงจำเป็นต้องมีการติดตามผลกระทบ รวมถึงการรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เข้าใจถึงสาเหตุและการดำเนินของโรคได้อย่างแท้จริง
จากข้อมูลช่วงเวลาที่ผ่านมา พบว่า อาการที่พบบ่อยที่สุดที่เกี่ยวข้องกับภาวะลองโควิด ได้แก่ ความเหนื่อยล้า หายใจถี่หรือหายใจลำบาก ปัญหา ด้านความจำ สมาธิ หรือการนอนหลับ ไอถาวร อาการเจ็บหน้าอก ปัญหาในการพูด อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ สูญเสียการรับกลิ่นหรือรสชาติ ภาวะซึมเศร้าหรือความวิตกกังวล และเป็นไข้ ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถของบุคคลในการทำกิจกรรมประจำวันได้
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา -นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แถลงปมผลกระทบวัคซีนโควิด
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา -นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แถลงปมผลกระทบวัคซีนโควิด
สำหรับประเด็นการปกปิดข้อมูลและข้อเท็จจริงของผู้ที่ได้รับผลกระทบและเสียชีวิตจากวัคซีนนั้น ไม่เป็นความจริง มีการเก็บข้อมูล พิจารณา วินิจฉัย และมีการเผยแพร่อย่างเป็นระบบ โดยกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้เฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังการได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ตามมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ มีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญระดับชาติหลายสาขาที่เกี่ยวข้องร่วม พิจารณาว่าผลกระทบดังกล่าว เกิดขึ้นจากวัคซีนหรือไม่ หรือมีปัจจัยอื่นใดที่ทำให้เกิดภาวะดังกล่าวขึ้น ซึ่งต้องใช้ข้อมูลผลตรวจด้านการแพทย์ของผู้ได้รับผลกระทบดังกล่าวมาพิจารณาร่วมด้วย เพื่อให้สามารถวินิจฉัยได้แน่ชัด
นอกจากนี้ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และหน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุข ไม่มีอำนาจใดที่สามารถปิดกั้นข้อมูลข่าวสารจากโซเชียลมีเดีย และแอปพลิเคชันต่างๆ ได้ ดังเห็นได้จากการระบาดของข้อมูลข่าวปลอมและข่าวบิดเบือน (Infodemic) ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ รวมถึงข้อมูลบิดเบือนด้านวัคซีนจำนวนมากที่เผยแพร่อยู่ในสื่อออนไลน์ในปัจจุบัน
ประเด็นอัตราการตายส่วนเกิน (excess deaths) ของประชาชนไทยในช่วงปี 2565-2566 นั้น เป็น ข้อมูลการตายจากสาเหตุอื่นๆ ในภาพรวม เช่น การเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง หรือโรคเรื้อรังต่างๆ ที่ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม
รวมทั้งจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันควบคุมโรค มีการเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวเนื่องกับการจราจรเพิ่มมากขึ้นในปี 2565-2566 ซึ่งไม่เกี่ยวกับโรคโควิด-19
สำหรับประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขมีการเก็บข้อมูลอัตราการตายของประชากรไทยอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ โดยในรายละเอียดของอัตราการตายส่วนเกินในช่วงเวลาดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุขจะมีการแถลงให้ประชาชนทราบข้อมูลเพิ่มเติมต่อไป
สำหรับประเด็นการติดตามผลกระทบเบื้องต้น จากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในผู้ที่ฉีดวัคซีนในประเทศ ไทยเกือบ 100 คนในระยะเวลา 1 ปี ที่มีการอ้างถึงนั้น ตามหลักวิชาการพบว่า ยังต้องมีการวางแผนแนวทางการศึกษาให้รัดกุม และต้องมีการกำหนดกลุ่มเปรียบเทียบเพิ่มเติม เพื่อหลีกเลี่ยงอคติ (Bias) ในการศึกษา
ซึ่งจะทำให้สามารถเปรียบเทียบข้อมูล ผลกระทบระหว่างผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 และกลุ่มผู้ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้อย่างแท้จริง เนื่องจากการทำการศึกษาผลกระทบของสิ่งใดก็ตาม หากไม่มีกลุ่มควบคุมอาจทำให้มีอคติเกิดขึ้นในการศึกษานั้นได้
ส่วนการกล่าวอ้างว่า การฉีดวัคซีนหลังเข็มที่ 3 ว่าอาจจะทำให้ภูมิคุ้มกันชนิด T-Cell หมดแรงนั้น สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ชี้แจงว่า เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยได้มีการประสานไปยังนักวิจัยเจ้าของข้อมูลดังกล่าว ซึ่งมีการเผยแพร่รายงานในเรื่อง “Hybrid and herd immunity 6 months after SARS‑CoV‑2 exposure among individuals from a community treatment program” ตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค.2566
พบว่า ประเด็นหลักที่นักวิจัยต้องการสื่อสาร คือการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นปริมาณมากๆ ในช่วงระยะห่างสั้นๆ (ฉีดวัคซีนจำนวนมาก และฉีดก่อนครบกำหนด) ไม่ทำให้เกิดการกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่ดี การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นควรมีการวางแผน และกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคได้ดีที่สุด
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกได้มีคำแนะนำให้ประชาชนทั่วไป ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว หรือผู้มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนโควิด-19 จำเป็นต้องได้รับวัคซีน 1 โดส และตามด้วยการฉีดวัคซีนเพิ่มเติมหลังจากฉีดเข็มแรกมาแล้ว 6 เดือนถึง 1 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงของการป่วยหนักและเสียชีวิต
อ่านข่าว
จี้สธ.เปิดความจริง COVID-19 ภาวะ “ลองวัคซีน” ขี้ลืม-สมองเสื่อม
Related Stories
พฤศจิกายน 17, 2024