ที่มาของภาพ, Thai News Pix
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลขึ้นรถแห่ขอบคุณประชาชน หลังประกาศความพร้อมจัดตั้งรัฐบาล
หลายฝ่ายมองว่า ชัยชนะของ "พรรคก้าวไกล" ในการเลือกตั้งเมื่อวานนี้ (14 พ.ค.) คือ "สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลง" ที่จะทำให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิมในหลายมิติ
ดร. สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ร่วมวิเคราะห์กับบีบีซีไทยถึง "ปรากฏการณ์ก้าวไกล" ที่เกิดขึ้นว่า จะส่งผลอย่างไรต่ออนาคตการเมืองของไทย
"ภาพรวมภูมิทัศน์เปลี่ยนแปลงแน่นอน ถือว่าเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าไปพอสมควร ที่ชัดเจนคือ ขั้วการเมืองฝ่ายเสรีก้าวหน้า ค่อนไปทางพรรคก้าวไกลแล้ว ไม่ใช่แนวพรรคเพื่อไทยแล้ว และมีแนวโน้มจะไปทางฝั่งก้าวไกลมากขึ้นอีก ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของนโยบายทางการเมือง แต่จะไปในทางอุดมการณ์ และจุดยืนทางการเมือง" ดร. สติธร อธิบาย
ขณะเดียวกัน อีกขั้วทางการเมืองโดยเฉพาะกลุ่มอนุรักษนิยมถึงเวลาที่จะต้องปรับตัวโดยมีแนวโน้มจะรวมตัว แยกตัว หรืออาจถึงขั้นสลายตัวไปเลยก็เป็นได้ ดังนั้น ในแง่ของการสร้างพรรคฯ ขึ้นมาสู้กันใหม่ จึงต้องปรับตัว
"ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ได้พิสูจน์อย่างชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลปัจจุบันไม่ตอบโจทย์เสียงส่วนใหญ่ แม้กระทั่งเสียงของคนที่เคยสนับสนุนกลุ่มนี้มาในการเลือกตั้งปี 2562 เราเลยเห็นปรากฏการณ์ว่า พรรคก้าวไกลไม่ใช่แค่ได้รับแรงสนับสนุน (ผู้สนับสนุนกลุ่มเดียว) กับพรรคเพื่อไทย แต่มาจากฝั่งนี้ (อนุรักษนิยม) ด้วย"
End of เรื่องแนะนำ
ผู้สนับสนุนอยากให้พรรคก้าวไกลทำอะไรเป็นอย่างแรก
คีย์เวิร์ดสำคัญของ "สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง" ครั้งนี้ คือ "ความต้องการปฏิรูป" ที่มีมายาวนาน นับตั้งแต่การก่อกำเนิดของวาทกรรมทางการเมือง "ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง" ในห้วงเวลาที่กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. เคลื่อนไหวทางการเมือง
สิ่งที่ประชาชนจำนวนไม่น้อย รอคอยนับแต่การก่อรัฐประหาร นำโดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 คือ ความหวังแห่ง "การปฏิรูปประเทศไทย" และความหวังยังคงสืบเนื่องมาจนถึงการเลือกตั้งทั่วไปในเดือน มี.ค. 2562
ที่มาของภาพ, Getty Images
"อย่างน้อย ๆ การฝากความหวังกับพรรคก้าวไกลในวันนี้ ก็มีแต่เท่าทุน หรือไม่ก็ได้" ดร. สติธร กล่าว
"แต่เวลาผ่านไปกว่า 9 ปี กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร และค่อนข้างพิสูจน์แล้วว่า อย่างในปี 2562 พวกเขาก็ยังหวังว่า 'เลือกความสงบจบที่ลุงตู่' แล้วลุงตู่จะมาสานต่อรัฐธรรมนูญที่เพิ่งประกาศใช้ และมีการปฏิรูปตามแนวรัฐธรรมนูญปี 2560 รวมทั้งการมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แต่ 4 ปีผ่านมากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วความหวังในการปฏิรูปของพวกเขาอยู่ที่ไหน"
นักวิชาการรายนี้วิเคราะห์ว่า นี่คือ จุดเปลี่ยนที่สำคัญของกลุ่มอนุรักษนิยมที่ย้ายมาเทคะแนนให้พรรคก้าวไกล แม้ดูจะเป็น "ทางเลือกที่เสี่ยง" แต่ก็ยังมี "โอกาสในการเปลี่ยนแปลง"
ประจวบเหมาะกับท่าทีของพรรคก้าวไกลในเรื่องที่พวกเขากังวล โดยเฉพาะเกี่ยวกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ยอมลดเพดานลง เมื่อเทียบกับท่าทีเดิม ทำให้กลุ่มอนุรักษนิยมยอมเสี่ยง ในขณะที่เมื่อมองมายังฝั่งพรรคเพื่อไทย และนายทักษิณ ชินวัตร เสียงกลุ่มนี้มองฟากเพื่อไทยว่า เป็นฝ่ายที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงอะไร
"เขาต้องการเพียงเสถียรภาพของรัฐบาลและอยู่ในกติกาที่ได้เปรียบ แต่สิ่งที่กลุ่มนี้ยังต้องการคือการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง เขาต้องการเปลี่ยนโครงสร้างบางอย่างก่อน หรือ เปลี่ยนกติกาให้ยุติธรรมก่อน" ดร.สติธร อธิบาย
"อย่างน้อย ๆ การฝากความหวังกับพรรคก้าวไกลในวันนี้ ก็มีแต่เท่าทุน หรือไม่ก็ได้"
จากประสบการณ์ในการทำงานวิจัย และการเฝ้าสังเกตการณ์ทางการเมืองของผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า เขาสะท้อนให้เห็นว่า ทุกยุคทุกสมัยมี "สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง" แต่บ่อยครั้งก็พบกับความล้มเหลว เพราะการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นจริง เป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น
ที่มาของภาพ, Thai News Pix
บรรยากาศการขึ้นรถแห่ขอบคุณประชาชนหลังประกาศความพร้อมจัดตั้งรัฐบาล
"โอกาสที่ได้รับรอบนี้ คนฝากความหวังในรอบนี้แล้ว (ก.ก.) จะทำได้ตามที่มีความคาดหวังแค่ไหน ถ้าทำได้ดีและยาวมั่นคง กระแสนี้จะทำได้เรื่อย ๆ เพื่อผลของการเลือกตั้งครั้งหน้าและครั้งต่อไป ก็อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น"
นอกจากในแง่ของความหวังแล้ว พลังอำนาจของ "กลุ่มบ้านใหญ่-บ้านใหม่" จะเป็นอย่างไร หลังความพ่ายแพ้ของกลุ่มอำนาจในท้องถิ่นเดิม ๆ ในบางเขตเลือกตั้ง ต่อกระแสความนิยมของพรรคก้าวไกล
ดร. สติธร อธิบายว่า หากย้อนกลับไปเมื่อการเลือกตั้งในปี 2554 บทบาทความสำคัญของกลุ่มบ้านใหญ่ถือว่ายังมีไม่มากนัก โดยเพิ่งจะมีบทบาทหลักในทางการเมืองในการเลือกตั้งปี 2562
อย่างไรก็ตาม พวกเขามีการปรับตัวมาโดยตลอด และมีต้นทุนสำคัญคือการเมืองท้องถิ่น ซึ่งในวันนี้ยังกุมอำนาจระดับหนึ่งในพื้นที่
ที่มาของภาพ, Thai News Pix
"หากพิจารณาผลการเลือกตั้งในหลายเขต กลุ่มบ้านใหญ่ก็ยังคงรักษาฐานเสียงได้ แต่ที่ทำให้พรรคก้าวไกลคว้าชัยชนะ ก็มาจากคะแนนเสียงที่แบ่งมาจากพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นคะแนนจากบ้านใหญ่หรือกระแสพรรค"
การเลือกตั้งครั้งนี้ ยังเป็นบทพิสูจน์สำคัญของอิทธิพลจากสื่อใหม่ (new media) ต่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารทางการเมืองและการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ผู้เลือกตั้งต้องการความชัดเจนด้านจุดยืนทางการเมือง และแสวงหาความจริงในแง่อุดมการณ์ทางการเมือง
บีบีซีไทยเข้าใจว่า ในโลกออนไลน์ในปัจจุบันโดยเฉพาะในสังคมออนไลน์ ผู้ใช้งานมีความต้องการข้อมูลข่าวสารและแสวงหาข้อมูลข้อเท็จจริง เพื่อตรวจสอบจุดยืนทางการเมืองและอุดมการณ์ทางการเมืองจากอดีตจนถึงปัจจุบันด้วยการค้นหาคลิปต่าง ๆ ที่ผู้นำการเมืองแต่ละฝ่ายเคยได้พูดไว้เป็นร่องรอยแห่งโลกดิจิทัล (digital footprint) ทำให้คนรุ่นใหม่เข้าใจความเป็นมาของการเมืองมากขึ้น
ที่มาของภาพ, Getty Images
การใช้สื่อแบบไร้รอยต่อของพรรคก้าวไกลทำให้สามารถสร้างความรู้สึกร่วม กระแส ความนิยม และผลการเลือกตั้งตามที่คาด
ดร.สติธร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในยุคปัจจุบัน พรรคการเมืองใดที่สามารถสื่อสารนโยบายและอุดมการณ์ทางการเมืองได้แบบไร้รอยต่อ ผ่านการสื่อสารออนกราวด์ (การปราศรัยและการลงพื้นที่) ออนไลน์ และออนแอร์ (สื่อดังเดิม) และคนที่ใช้สื่อเป็น จะประสบความสำเร็จในการสร้างความรู้สึกร่วม กระแสความนิยม และผลการเลือกตั้งตามที่คาดหวังไว้
"อย่างรอบนี้ ค่อนข้างชัดว่า พรรคก้าวไกลตีโจทย์เรื่องการใช้สื่อและการสื่อสารแตกที่สุด แบบเชื่อมประสานกันไปหมด ซึ่งผลทำให้เกิด 'หัวคะแนนธรรมชาติ' และพัฒนาต่อ ส่งต่อเนื้อหาในรูปแบบวิดีโอสั้น อย่างติ๊กต่อก รีล (Reels) หรือ ชอร์ตส์ (Shorts) ซึ่งเข้าถึงคนหมู่มากได้"
ท่ามกลางความกังวลจากเงื่อนไขและปัจจัยที่ถูกกำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของ ส.ว. 250 เสียง ที่มีสิทธิลงเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีในรัฐสภา การตรวจสอบขององค์กรอิสระ รวมไปถึงการจับตาจากฝ่ายความมั่นคง
นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้า มองว่า ผลการเลือกตั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่ให้การสนับสนุน และลงคะแนนเสียงเลือกพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งเรียกตัวเองว่า "ฝ่ายประชาธิปไตย" ถือเป็นเจตจำนงและมติมหาชน การที่พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งด้วยที่นั่งในสภา 152 ที่นั่งมากที่สุด และเป็นแกนนำรัฐบาล จะทำให้ "มติมหาชน" มีความหมายมากขึ้นในทางการเมือง
ที่มาของภาพ, Thai News Pix
ส.ว. ยังคงทำหน้าที่รักษามรดกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และในการลงมติพิจารณาเรื่องสำคัญแต่ละครั้ง ก็ไม่มีแตกแถว เพื่อประโยชน์ของ 2ป. คือ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือ ป.ประยุทธ์ และพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หรือ ป.ประวิตร
"ถ้าเขา (ส.ว.) เข้าใจสถานการณ์ที่หลายคนอาจจะบอกว่าคือ 'สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง' และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน และไม่ได้วิเคราะห์เพียงว่า ไม่ใช่เพียงพลังของกลุ่มเสรีก้าวหน้าเท่านั้น จริง ๆ แล้วเป็นพลังของกลุ่มคนที่เคยสนับสนุนพวกเขาด้วย มาผนึกอยู่ในสายลมสายนี้"
"ถ้าเขาไปฝืน ไม่ใช่เพียงแค่ฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น ยังหมายถึงฝืนความรู้สึกของฝ่ายเดียวกันอีกด้วย"
เขายังเสนอว่า นี่อาจจะเป็นโอกาสในการแสดงจุดยืนขององคาพยพเครือข่ายชนชั้นนำ ที่เป็นฝ่ายอนุรักษนิยมว่า เข้าใจความรู้สึก-ความต้องการ ของเสียงประชาชนที่ทำให้ผลการเลือกตั้งออกมาเป็นเช่นนี้ ดีกว่าการฝืนมติมหาชน
"ท่าทีการแสดงออกของ ส.ว. ก็เป็นท่าทีเดียวกับกันกับองคายพเดียวกันกับฝ่ายทหารและองค์กรอิสระ ก็เพียงพอแล้ว"
ย้อนกลับไปถึงการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เอาชนะการเลือกตั้งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยสร้างสถิติสูงสุดนับตั้งแต่มีการเลือกตั้งมา ด้วย 1.38 ล้านเสียง ได้สร้างแรงกระเพื่อมไปยังหลายจังหวัดที่มีแนวความคิดต้องการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ของตัวเอง
ที่มาของภาพ, Getty Images
ในครั้งนั้น ระหว่างการจัดการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. มีนักกิจกรรมในต่างจังหวัดได้จัดกิจกรรมคู่ขนานกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เพื่อรณรงค์เรียกร้องให้คนในต่างจังหวัดมีผู้ว่าฯ จากการเลือกตั้งแทนการแต่งตั้งโดยการบริหารส่วนกลางจากกระทรวงมหาดไทย
สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ ที่พรรคก้าวไกลคว้าชนะครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อนตั้งพรรคอนาคตใหม่เมื่อปี 2561 (ก่อนจะถูกยุบมาเป็นพรรคก้าวไกล) นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้ามองว่า เหตุการณ์นี้จะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นรวมทั้งการเปิดโอกาสให้นักการเมืองหน้าใหม่เข้ามาสู่ระบบในอนาคต
ที่มาของภาพ, FACEBOOK/CHAMNAN CHANRUANG
"แรงบันดาลใจของคนที่อยากเข้ามาทำงานทางการเมืองผ่านการเลือกตั้ง โดยไม่ต้องพึ่งการเมืองแบบบ้านใหญ่ ไม่ต้องใช้เงินจำนวนมาก และในระบบอุปถัมป์ มีจริงไม่ใช่แค่ในกรุงเทพฯ ไม่ใช่แค่ในเมืองใหญ่ ในต่างจังหวัดในเมืองเล็ก หรือเมืองขนาดกลางก็เป็นไปได้" เขาอธิบาย
นอกจากนี้ เขายังกล่าวทิ้งท้ายว่า แนวความคิดดังกล่าวจะช่วยลบข้อโต้แย้งของกลุ่มคนที่มองว่า หากจัดการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในต่างจังหวัด อาจจะถูกครอบงำโดยกลุ่มบ้านใหญ่และบรรดานักเลือกตั้ง กลุ่มผู้ที่ซื้อเสียงรวมทั้งนายทุน
แต่ว่า ชัยชนะของพรรคก้าวไกลในครั้งนี้ สามารถพิสูจน์ได้ว่า ยังคงมีพลังบริสุทธิ์ที่จะสามารถเลือกผู้ว่าฯ ของตัวเองได้ และสามารถได้ผู้ว่าฯ ที่เป็นอิสระและสามารถทำงานเพื่อประชาชนจริง
© 2023 บีบีซี. บีบีซีไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อเนื้อหาของเว็บไซต์ภายนอก. นโยบายของเราเรื่องการเชื่อมต่อไปยังลิงก์ภายนอก. อ่านเกี่ยวกับแนวทางของเราในการติดต่อกับลิงก์ภายนอก