วันศุกร์ ที่ 12 เมษายน 2567
สอบถามพูดคุยถึงกันมาก เงินดิจิตอล หรือ "แจกเงินดิจิทัล 10000 ล่าสุด" ลงทะเบียน-เงื่อนไขต่าง ๆ "กรุงเทพธุรกิจ" รู้ลึกรู้จริงติดตามเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่แรก
คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) ประชุมครั้งที่ 3/2567 ครั้งล่าสุด 10 เมษายน 2567 ได้เห็นชอบกรอบหลักการโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet มีวัตถุประสงค์
1. กลุ่มเป้าหมายเงินดิจิทัล
ประชาชนจำนวนประมาณ 50 ล้านคน โดยจะมีเกณฑ์ ได้แก่ อายุเกิน 16 ปี ณ เดือนที่มีการลงทะเบียน ไม่เป็นผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาทต่อปีภาษีและมีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท
2. เงื่อนไขการใช้จ่ายเงินดิจิทัล
2.1 ระหว่างประชาชนกับร้านค้า ใช้จ่ายเชิงพื้นที่ในระดับอำเภอ (878 อำเภอ) โดยกำหนดให้ใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กที่ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดเท่านั้น
2.2 ระหว่างร้านค้ากับร้านค้า ไม่กำหนดเงื่อนไขการใช้จ่ายเชิงพื้นที่ระหว่างร้านค้ากับร้านค้าในระดับอำเภอและขนาดของร้านค้า
การใช้จ่ายเงินสามารถใช้จ่ายได้หลายรอบ โดยรอบที่ 1 จะเป็นการใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้าขนาดเล็กเท่านั้น (ตามกระทรวงพาณิชย์กำหนด) ตั้งแต่รอบที่ 2 ขึ้นไป จะเป็นการใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้าโดยไม่จำกัดขนาดร้านค้า
3. ประเภทสินค้าเงินดิจิตอล
สินค้าทุกประเภทสามารถใช้จ่ายผ่านโครงการฯ ได้ ยกเว้น สินค้าอบายมุข น้ำมัน บริการ และออนไลน์ เป็นต้น และสิ่งที่กระทรวงพาณิชย์จะกำหนดเพิ่มเติม
4. คุณสมบัติร้านค้าที่สามารถถอนเงินสดจากโครงการฯ ต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี ดังนี้
5. การจัดทำระบบ
จะเป็นการพัฒนาต่อยอดของรัฐบาลดิจิทัลโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีเป้าหมายให้เป็น Super App ของรัฐบาล โดยการใช้งานจะพัฒนาให้สามารถใช้จ่ายได้กับธนาคารอื่น ๆ ในลักษณะ open loop ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดทำของภาครัฐ รัฐบาลจะดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปอย่างรอบคอบ โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ตามกฎหมาย
6. แหล่งเงินของเงินดิจิทัล 10000
จะใช้เงินจากงบประมาณจาก 3 แหล่ง ได้แก่
– เงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท
– การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ จำนวน 172,300 ล้านบาท
-การบริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท
โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับกฎหมายต่าง ๆ เช่น มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ) ซึ่งกำหนดว่ารัฐต้องดำเนินนโยบายการคลังตามหลักการรักษาเสถียรภาพและการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และหลักความเป็นธรรมในสังคม และต้องรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด มาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ซึ่งกำหนดว่าการดำเนินการใด ๆ ของรัฐที่มีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ต้องพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐด้วย
7. ช่วงเวลาการดำเนินโครงการ
ประชาชนและร้านค้าจะสามารถเข้าร่วมโครงการฯ ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 และจะมีการเริ่มใช้จ่ายภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567
โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ที่จะเข้ากระเป๋าเงินของประชาชนจำนวน 10,000 บาท จะเป็นการเข้าล็อตเดียวหรือทยอยจ่ายนั้น นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เข้าล็อตเดียว
ส่วนกรณีร้านค้าที่จะสามารถเบิกเงินได้ที่แบ่งครั้งที่สองก่อน เอาอะไรมาวัดตรงนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระบวนการที่ได้มีการกำหนดในชั้นอนุกรรมการมีข้อห่วงใยในเรื่องของการทุจริตคอร์รัปชัน เช่น เรื่องของการซื้อรถ แลกรถ และประเด็นในเรื่องของการสร้างตัวคูณทางเศรษฐกิจ จะมีเพียงพอหรือไม่นั้น ซึ่งหลังจากที่ได้พิจารณาอย่างละเอียดทางฝ่ายเลขาฯ ได้นำเสนอมาที่ชั้นอนุกรรมการแล้วส่งเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ครั้งที่ 3/2567 ในวันนี้ โดยเสนอให้กลไกการใช้จ่ายเงินดิจิทัล ต้องใช้ 2 รอบเป็นอย่างต่ำเพื่อให้เกิดตัวคูณทางเศรษฐกิจอย่างที่เหมาะสม เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการเงิน Digital Wallet โดยรอบแรกประชาชนใช้กับร้านค้าขนาดเล็ก จะเป็นร้านหน้าบ้าน ร้านก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น เมื่อใช้แล้วร้านค้าดังกล่าวก็นำเงินไปซื้อสินค้าทุน กับร้านค้าอื่น ๆ ต่อไปอีกหนึ่งถอดจึงจะขึ้นเงินได้
ในการกำหนดเรื่องของเงินเดือน และเงินฝากด้วย รวมถึงคนที่ได้เคยเข้าโครงการ Easy E-Receipt ไปแล้วยังสามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้หรือไม่นั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ยังสามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้ เนื่องจากโครงการ Easy E-Receipt เป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงต้นปีระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งโครงการดังกล่าวได้ปิดไปแล้ว ไม่มีการเกี่ยวเนื่องกับโครงการเติมเงิน 10,000 บาทฯ
ส่วนที่เปลี่ยนจาก 70,000 บาทต่อเดือนเป็น 840,000 บาทต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนการของทางกรมสรรพากรเท่านั้น ตัวเลขเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ขยายความในประเด็นร้านค้าขนาดเล็ก กรณี 7-ELEVEN กับ Makro ถือว่าเป็นร้านค้าขนาดเล็กหรือไม่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า รายละเอียดนี้สุดท้ายต้องมีการ finalize อีกรอบ แต่ในเบื้องต้นร้านสะดวกซื้อลงมาคือร้านค้าขนาดเล็ก ส่วน Makro และห้างสรรพสินค้า แน่นอนว่าไม่รวมอยู่ด้วย
ด้าน เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า เหตุผลที่เลือกร้านค้าขนาดเล็กเพื่อให้กระจายอยู่ในพื้นที่ กระจายอยู่ในชุมชน และต้องการให้เกิดการหมุนในระบบเศรษฐกิจให้มากที่สุด
ส่วนของร้านที่ไม่สามารถใช้ได้ในรอบแรก จะไม่รวมห้างสรรพสินค้า ไม่รวมห้างค้าปลีก และค้าส่งขนาดใหญ่ ทั้งนี้จะรวมตั้งแต่ร้านค้าปลีกทุกประเภท และร้านสะดวกซื้อทั้งแบบ Stand Alone และแบบที่ตั้งอยู่ในสถานบริการน้ำมันลงมา เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนที่จะยกเว้นก็คือห้างค้าส่งขนาดใหญ่ ห้างค้าปีกขนาดใหญ่ ซุปเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
อ้างอิง – รัฐบาลไทย และ พรรคเพื่อไทย